เผยแผนปรับโฉมโรงแรมแฟลกชิป, กลยุทธ์รีแบรนด์โรงแรม และโปรเจกต์ใหญ่ที่เกาะมัลดีฟส์พร้อมเดินหน้าพัฒนาศักยภาพโรงแรมเต็มกำลัง
กรุงเทพฯ, ประเทศไทย - 13 มีนาคม 2567 – โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา เครือโรงแรมชั้นนำของประเทศไทย เผยแผนธุรกิจและกลยุทธ์เติบโตในปี พ.ศ. 2567 เพื่อเดินหน้าขยายธุรกิจไปยังตลาดใหม่ๆ ทั่วโลก พร้อมแผนเปลี่ยนโฉมแบรนด์โรงแรมคอนเซ็ปต์ใหม่ พร้อมมอบประสบการณ์การบริการอันอบอุ่นและทันสมัยแก่นักเดินทาง มุ่งมั่นก้าวขึ้นเป็น 1 ใน 100 แบรนด์โรงแรมชั้นนำระดับโลกภายใน พ.ศ. 2570 และเป็นแบรนด์ที่คว้าหัวใจของนักท่องเที่ยวทั่วโลกสมดังสโลแกน The Place to Be
ปี พ.ศ. 2566 นับเป็นปีแห่งความภาคภูมิใจที่เซ็นทาราเฉลิมฉลองครบรอบ 40 ปี ในไทย และเป็นปีที่ เซ็นทาราประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้นกับหลากหลายโปรเจกต์สำคัญ อาทิ การเปิดให้บริการ “เซ็นทารา แกรนด์ โอซาก้า” ซึ่งเป็นโรงแรมแห่งแรกของเซ็นทาราในญี่ปุ่น, การได้รับรางวัลสุดยอดนายจ้างดีเด่นแห่งประเทศไทย ประจำปี 2023 จากงาน Kincentric Best Employers Thailand 2023 และความสำเร็จของ แบรนด์ “เซ็นทารา แกรนด์” ที่คว้าตำแหน่งแบรนด์ที่แข็งแกร่งสุดในไทย จากรายงาน 50 อันดับบริษัทประจำปี 2023 โดยสถาบัน Brand Finance
ในปีที่ผ่านมา เซ็นทาราบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจอย่างแข็งแกร่ง โดยเซ็นทารามีรายได้รวมอยู่ที่ 9,932 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 52% เมื่อเทียบกับปีก่อน และมีกำไรก่อนค่าเสื่อมราคา ค่าตัดจำหน่าย ดอกเบี้ยจ่าย และภาษีเงิน (EBITDA) จำนวน 3,284 ล้านบาท เติบโต 83% เมื่อเทียบกับปีก่อน ทั้งนี้ มีรายได้ต่อห้องพักเฉลี่ยของทั้งหมด (RevPar) เพิ่มขึ้น 19% อยู่ที่ 4,141 บาท ซึ่งสำหรับแนวโน้มธุรกิจในปี 2567 นี้ เซ็นทาราคาดการณ์ว่าอัตราการเข้าพักเฉลี่ย (รวมโรงแรมร่วมทุน) จะอยู่ที่ 70% - 73% และมีรายได้ต่อห้องพักเฉลี่ย (RevPAR) จะอยู่สูงสุดที่ 4,300 บาท
สำหรับแผนการขยายโรงแรมในปี พ.ศ. 2567 นี้ เซ็นทาราเดินหน้าตอกย้ำความเป็นเครือโรงแรมชั้นนำ ด้วยการเตรียมเปิดให้บริการโรงแรมทั้งในและต่างประเทศเพิ่มทั้งหมด 6 แห่ง โดยแบ่งเป็น 3 แห่งในไทย, 2 แห่งในสปป.ลาว และ 1 แห่งในมัลดีฟส์ ได้แก่ เซ็นทารา ไลฟ์ ละไม รีสอร์ท สมุย, เซ็นทารา วิลลา เกาะพีพี, เซ็นทารา ไลฟ์ สุราษฎร์ธานี, โคซี่ เวียงจันทน์ น้ำพุ, เซ็นทารา พลูมเมอเรีย รีสอร์ท ปากเซ และเซ็นทารา มิราจ ลากูน มัลดีฟส์
อีกหนึ่งโปรเจ็คสำคัญที่สุดแห่งปี คือ “โรงแรมเซ็นทารา มิราจ ลากูน มัลดีฟส์” ที่มีกำหนดเปิดให้บริการในเดือนพฤศจิกายนปี พ.ศ. 2567 นี้ ถือเป็นโครงการส่วนแรกของเซ็นทาราบนเกาะสวรรค์ในมาเล่ อะทอลล์เหนือ หนึ่งในเกาะในกลุ่มมัลดีฟส์ที่มีความสวยงามอย่างเหนือชั้น โดยจะสามารถเดินทางเข้าถึงได้โดยง่ายด้วยสปีดโบ๊ทเพียง 30 นาที จากท่าอากาศยานนานาชาติเวลานา หรือที่มักเรียกว่า ท่าอากาศยานนานาชาติมาเล่ เซ็นทารา มิราจ ลากูน มัลดีฟส์นับเป็นโรงแรมภายใต้ธีมมิราจ แห่งที่ 4 ของโลก ต่อจากที่พัทยา มุยเน่ และดูไบ โดยโรงแรมแห่งนี้ เป็นแบรนด์ธีมรีสอร์ทสำหรับครอบครัว ออกแบบมาให้โดดเด่นด้วยคอนเซ็ปต์โลกใต้น้ำ มีสวนน้ำและกิจกรรมทางน้ำอันเป็นเอกลักษณ์ เพื่อให้ตอบโจทย์กับความต้องการของลูกค้ากลุ่มครอบครัว และต่อไปในไตรมาสที่ 1 ของปี พ.ศ. 2568 เซ็นทารามีแผนจะเปิดให้บริการ “โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ ลากูน มัลดีฟส์” รีสอร์ทหรูขนาด 142 ห้องพักเป็นลำดับถัดไป นั่นจะทำให้นักเดินทางที่มาเยี่ยมเยือนเกาะในฝันแห่งนี้สามารถเพลิดเพลินไปกับตัวเลือกที่พัก 2 แบบ 2 สไตล์ในเครือเซ็นทารา เพื่อการพักผ่อนที่น่าประทับใจได้
นอกจากนั้น ยังมีอีกสองโรงแรมแฟลกชิปที่เซ็นทาราตั้งใจจะปรับโฉมครั้งใหญ่ในปีนี้ คือ เซ็นทารา กะรน รีสอร์ท ภูเก็ต (จำนวน 335 ห้องพัก) และเซ็นทารา แกรนด์ มิราจ บีช รีสอร์ท พัทยา (จำนวน 553 ห้องพัก) และสำหรับการรีแบรนด์ เซ็นทาราได้ประกาศรีแบรนด์ “เซ็นทรา บาย เซ็นทารา” ให้เป็น “เซ็นทารา ไลฟ์” ในช่วงปลายปีที่แล้ว และมีแผนจะรีแบรนด์ “เซ็นทารา บูติก คอลเลกชัน” ต่อเนื่องในปีนี้เช่นกัน โดย เซ็นทารามีแผนจะขยายแบรนด์ในเครือทั้ง 6 แบรนด์ ออกสู่หลากหลายจุดหมายปลายทางทั้งในและต่างประเทศ อาทิ แผนขยายแบรนด์เซ็นทารา รีเซิร์ฟ และโรงแรมในธีมมิราจไปในไทย, มัลดีฟส์, ญี่ปุ่น และอินโดนีเซีย รวมถึงแผนการเซ็นสัญญาขยายเครือข่ายพันธมิตรในตลาดสำคัญๆ อย่างจีนด้วยเช่นกัน
เซ็นทารามีระบบโปรแกรมสมาชิกเซ็นทาราเดอะวัน (CentaraThe1) เพื่อยกระดับประสบการณ์การบริการ และสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้แก่ลูกค้า โดยสมาชิกเซ็นทาราเดอะวัน สามารถสะสมคะแนน แลกคะแนนเป็นสิทธิต่างๆ และได้รับบริการพิเศษเสริมต่างๆ เมื่อเข้าพักที่เซ็นทารา รวมถึงการนำเอาเทคโนโลยีอย่างระบบแชทบอทและแอปพลิเคชันเข้ามา เพื่อให้การจองห้องพักของลูกค้าเป็นไปอย่างง่ายดายและสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น
เซ็นทารายังให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยมีเป้าหมายในการเป็นองค์กรที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี พ.ศ. 2593 ภายใต้แผนการดำเนินงานระยะแรกในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกร้อยละ 20 ภายในปี พ.ศ. 2572 เทียบจากฐานปี พ.ศ. 2562 โดยได้มุ่งลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาวอย่างจริงจัง ผ่านแผนการดำเนินงานต่างๆ อีกทั้งการเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ ทั้งนี้ โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทาราได้ผ่านการรับรองการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน จากสภาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนโลก Global Sustainable Tourism Council – GSTC จำนวน 24 แห่ง และผ่านการรับรองจาก Green Key จำนวน 1 แห่ง ซึ่งเป็นมาตรฐานความยั่งยืนด้านการท่องเที่ยวที่ผ่านการรับรองสถานะ GSTC-Recognized เช่นกัน
“ปี พ.ศ. 2566 ที่ผ่านมา นับเป็นปีที่น่าตื่นเต้นของเซ็นทารา ทั้งการฉลองครบรอบ 40 ปี ของโรงแรมและ รีสอร์ทในเครือเซ็นทาราและการขยายธุรกิจไปยังตลาดใหม่ๆ ที่น่าสนใจ ซึ่งผมเชื่อว่า ปี พ.ศ. 2567 นี้ จะเป็นอีกปีที่น่าตื่นเต้นไม่แพ้กัน ทั้งการขยายแบรนด์โรงแรมทั้ง 6 แบรนด์ไปสู่จุดหมายปลายทางท่องเที่ยวหลักในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและมหาสมุทรอินเดีย เพื่อตอกย้ำความเป็นเครือโรงแรมชั้นนำ และการขยายเครือข่ายโรงแรมของเซ็นทาราให้ครอบคลุมทั้งหัวเมืองหลักและรองทั่วไทย” ไมเคิล เฮนสเลอร์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา กล่าว
“เรารู้สึกภาคภูมิใจกับเส้นทางความสำเร็จในการเดินหน้า เพื่อก้าวขึ้นเป็น 1 ใน 100 แบรนด์โรงแรมชั้นนำระดับโลกภายใน พ.ศ. 2570 ตามที่เราเคยได้ตั้งเป้าไว้ ซึ่งในปีที่แล้ว เราได้ก้าวจากอันดับที่ 150 มาอยู่ที่อันดับที่ 111 ซึ่งต้องถือเป็นเรื่องน่ายินดีที่เราสามารถเดินหน้าสู่ความสำเร็จได้ตามแผนและตรงตามกลยุทธ์ที่เราได้ตั้งไว้เร็วกว่าที่คาดการณ์” ธีระยุทธ จิราธิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา กล่าว “ในปี พ.ศ. 2567 นี้ เราพร้อมเดินหน้าในอีกหลายโปรเจกต์สำคัญ เพื่อเติบโตธุรกิจ เซ็นทาราให้แข็งแกร่งในตลาดโลก”
สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา ได้ที่ www.centarahotelsresorts.com.